Tuesday, December 30, 2008

เต่าฉลาดรู้


ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีเต่าตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ที่ริมฝั่ง แม่น้ำในเวลาเย็น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งผ่านมา พอเต่าเห็นสุนัขจิ้งจอกมา แต่ไกล ก็รีบหดอวัยวะทั้ง ๕ คือหัว ขาและคอเข้ากระดองของตนเสีย ไม่ เคลื่อนไหว นิ่งอยู่ ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกก็เห็นเต่าเที่ยวหากินแต่ไกลเหมือนกัน จึงเข้าไปหาเต่าแล้วยืนอยู่ใกล้ๆ คิดว่า ‘เมื่อใดเต่าตัวนี้โผล่อวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งออกมา เมื่อนั้นเราจักงับมันฟาดแล้วกัดกินเสีย ในที่นั้น’ แต่เมื่อใดเต่าไม่โผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออกมา เมื่อนั้นสุนัขจิ้งจอกก็เบื่อหนาย ไม่ได้โอกาส เดินจากเต่าไป

ภิกษุทั้งหลาย มารผู้ใจบาปเข้าใกล้พวกเธออยู่เสมอ ๆ ด้วยคิดว่า ‘บางทีเราจะพึงได้โอกาสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ ของภิกษุเหล่านี้’ เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงคุ้มครองทวารในอินทรีย์ ทั้งหลายเถิด เห็นรูปทางตาแล้ว อย่ารวบถือ อย่าแยกถือ จงปฏิบัติเพื่อ สำรวมอินทรีย์เหล่านั้น ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรม อันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเธอทั้งหลายจักคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย อยู่ เมื่อนั้น มารผู้ใจบาปก็จักหมดอาลัย ไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส หลีกจาก ท่านทั้งหลายไป ดุจสุนัขจิ้งจอกหลีกห่างจากเต่าไป ฉันนั้น
กุมโมปมสูตร, สํ.สฬา.๑๘/๒๔๐๒๔๑.

แมวซ่าเสียท่าลูกหนู


ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว แมวตัวหนึ่งยืนคอยจ้องจับลูกหนูอยู่ที่กองขยะริมฝาเรือน ด้วยหวังว่า ‘ลูกหนูจักออกไปหาเหยื่อในที่ใด เราจักจับมันกินเสียในที่นั้น’ ต่อมา ลูกหนูออกไปหาเหยื่อ แมวนั้นก็รีบตะครุบลูกหนู แล้วกลืนกินทั้งเป็นอย่างรวดเร็ว ลูกหนูก็กัดไส้ใหญ่และไส้น้อยของแมวนั้น แมวนั้นจึงถึงแก่ความตาย หรือได้รับทุกข์ปางตาย เพราะการกินลูกหนูนั้น

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน เวลาเช้าครองจีวรถือบาตรเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติไว้ให้มั่นคง ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย ครั้นเธอเห็นมาตุคามนุ่งห่มไม่เรียบร้อยในที่นั้น ราคะก็เสียบแทงจิตของเธอ ภิกษุนั้นมีจิตถูกราคะเสียบแทงแล้ว จึงถึงแก่ ความตายหรือทุกข์ปางตาย การที่เธอบอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์ นั้นแหละ จัดเป็นความตายในอริยวินัย การที่เธอต้องอาบัติเศร้าหมอง อย่างใดอย่างหนึ่ง และการประพฤติวัตรเพื่อออกจากอาบัตินั้น จัดเป็น ทุกข์ปางตาย
พิฬารสูตร, สํ.นิ.๑๖/๒๓๒/๓๒๑.

นกมูลไถสยบเหยี่ยว

ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว เหยี่ยวโฉบลงจับนกมูลไถโดยรวดเร็ว ขณะนั้น นกมูลไถกำลังถูกเหยี่ยวนำไป ได้คร่ำครวญอย่างนี้ว่า “เราเป็น ผู้อับโชค มีบุญน้อย ที่เที่ยวไปในถิ่นอื่นซึ่งมิใช่ถิ่นหากิน ถ้าวันนี้ เราไปเที่ยวกินในถิ่นหากินที่เป็นของบิดาเราไซร้ เราก็อาจสู้เหยี่ยวตัวนี้ได้”


เหยี่ยวจึงถามว่า “แน่ะเจ้านกมูลไถ ก็ถิ่นหากินที่เป็นของบิดาเจ้าเป็น เช่นไร”
นกมูลไถตอบว่า “ก็ถิ่นที่เป็นก้อนดินที่เขาทำการไถไว้อย่างไรหล่ะ”

ขณะนั้น เหยี่ยวหยิ่งในกำลังของตน เมื่อจะโอ้อวดกำลังของตน จึง ปล่อยนกมูลไถไป พร้อมกับบอกว่า “ไปเถิด เจ้านกมูลไถ ถึงเจ้าจะไปในที่นั้นก็หนีไม่พ้นเราไปได้” ทีนั้นนกมูลไถจึงไปยังที่ ๆ มีก้อนดินซึ่งเขาทำการไถไว้ จับที่ดินก้อนใหญ่ ยืนร้องท้าเหยี่ยวอยู่ว่า “เจ้าเหยี่ยว เจ้าจงมาจับเราเดี๋ยวนี้”


ครั้งนั้น เหยี่ยวหยิ่งในกำลังของตน เมื่อจะอวดอ้างกำลังของตน จึงหุบปีกทั้ง ๒ ลงโฉบนกมูลไถอย่างรวดเร็ว เมื่อนกมูลไถรู้ว่า “เหยี่ยวนี้โฉบลงมาเร็วหมายจะจับเรา” จึงหลบเข้าซอกก้อนดินนั้น เป็นเหตุให้เหยี่ยวอก

กระแทกดิน ตายในที่นั้นเอง

ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนกมูลไถเที่ยวไปในถิ่นอื่นซึ่งมิใช่ถิ่นหากิน ย่อมเป็นเช่นนี้แล เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าเที่ยวไปในอารมณ์อื่น อันมิใช่โคจร เพราะมารจักได้ช่อง ได้อารมณ์ ก็อารมณ์อื่นอันมิใช่โคจรของภิกษุคืออะไร คือ กามคุณ ๕ ได้แก่รูป...เสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด...นี้คือ ถิ่นอื่นที่เป็นอโคจรของภิกษุ

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปถิ่นที่เป็นของบิดาตนอันเป็นโคจร เพราะมารจักไม่ได้ช่อง จักไม่ได้อารมณ์ ก็อารมณ์อันเป็นของบิดาอันเป็นโคจรคืออะไร คือสติปัฏฐาน ๔
สกุณัคฆิสูตร, สํ.ม. ๑๙/๓๗๒/๒๑๗.

Thursday, December 25, 2008

ไม่มองเสียเลยดีกว่า


ท่านพระอานนท์ ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ อย่ามองเสียเลยดีกว่า อานนท์”
“เมื่อจำเป็นต้องมอง จะพึงปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”
“อย่าพูดด้วย อานนท์”
“เมื่อจำเป็นต้องพูดด้วย จะพึงปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”
“ต้องตั้งสติไว้ อานนท์”
มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม.๑๐/๒๐๓/๑๕๑.

ว่าด้วยการสำรวมอินทรีย์

ภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก เป็นอย่างไร คือเธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ได้เห็นรูปทางตา...ฟังเสียงทางหู...ดมกลิ่นทางจมูก...ลิ้มรสทางลิ้น...รับสัมผัสทางกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว จักไม่รวบถือโดยนิมิต จักไม่แยกถือโดย อนุพยัญชนะ บาปอกุศลคืออภิชฌาและโทมนัส มักไหลไปตามบุคคล เพราะไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุ เราจักปฏิบัติเพื่อปิดกั้นอินทรีย์เหล่านั้นไว้ จักทำการรักษาสำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย

มหาอัสสปุรสูตร, ม.มู. ๑๒/๔๒๑/๔๕๕.

Saturday, December 20, 2008

พระเถระที่ไม่น่าสรรเสริญ




พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า “กัสสปะ ภิกษุแม้เป็นเถระแล้ว แต่ไม่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาไตรสิกขา (สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา) ด้วยตนเอง ไม่สรรเสริญการเอาใจใส่ในการศึกษา เธอไม่ชักชวนภิกษุที่ไม่รักการศึกษาให้รักการศึกษา และไม่สรรเสริญคุณของภิกษุผู้รักการปฏิบัติในไตรสิกขาตามโอกาสอันสมควร เราตถาคตย่อมไม่สรรเสริญภิกษุเถระเช่นนี้



ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะภิกษุทั้งหลายจะหลงคบภิกษุเถระเช่นนี้เข้า โดยคิดว่า ‘พระศาสดาก็ยังสรรเสริญภิกษุเช่นนี้’ ภิกษุพวกที่คบหา ภิกษุเถระเช่นนั้นเข้า ก็จะพากันทำตามอย่างเธอ ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อ ไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่ภิกษุเหล่านั้นตลอดกาลนาน เพราะเหตุนั้น เราจึง ไม่สรรเสริญคุณของภิกษุเถระเช่นนี้”
ปังกธาสูตร, องฺ.ติก.๒๐/๙๒/๓๒๒.


พระเถระที่ชักพาให้เสื่อม

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้คนหมู่มากเสื่อม เพื่อความฉิบหายแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่ประโยชน์ เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ

[๑] เป็นพระเถระรัตตัญญู บวชมานาน มีพรรษากาลมาก
[๒] เป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมาก มียศ มีบริวารมาก ปรากฏแก่ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
[๓] เป็นผู้มากด้วยลาภ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
[๔] เป็นพหูสูต ทรงจำธรรมที่ฟังแล้ว สั่งสมธรรมที่ฟังแล้วมาก เป็นผู้ได้ฟังมาก...แล้วทรงจำไว้ได้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดซึ่งธรรมเหล่านั้นด้วยทิฏฐิ
[๕] (แต่ทว่า) เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต

ภิกษุนั้นทำคนหมู่มากให้เลิกละจากพระสัทธรรม ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม คนหมู่มากพากันตามอย่างภิกษุนั้น เพราะคิดว่า ‘เป็นพระเถระรัตตัญญู’ บ้าง ‘เป็นภิกษุผู้มีชื่อเสียง’ บ้าง ‘เป็นภิกษุเถระผู้มากด้วยลาภ’ บ้าง ‘เป็นภิกษุเถระผู้เป็นพหูสูต‘ บ้าง
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้คนหมู่มากเสื่อม เพื่อความฉิบหายแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่ประโยชน์ เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เถรสูตร, องฺ.ปญฺจก.๒๒/๘๘/๑๕๖.

พระเถระที่ไม่น่าเอาอย่าง




ภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตจักมีหมู่ภิกษุซึ่งมิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต และมิได้อบรมปัญญา ทั้งที่เป็นภิกษุผู้เถระแล้ว ยังเป็นผู้สะสมบริขาร เป็นผู้ย่อหย่อนในไตรสิกขา เป็นผู้นำในทางทราม ทอดธุระใน พระนิพพาน จักไม่ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรม ที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง


ผู้บวชในภายหลังเห็นแบบอย่างของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็จะพากันตามอย่าง จึงทำให้เป็นผู้สะสมบริขาร เป็นผู้ย่อหย่อนในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม ทอดธุระในพระนิพพาน จักไม่ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรม ที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ได้ ทำให้แจ้ง
นี้เป็นภัยในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ แต่จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลายพึงรับรู้ไว้ และพึงพยายามเพื่อกำจัดภัยเหล่านั้นเสีย
ตติยอนาคตภยสูตร, องฺ.ปญฺจก.๒๒/๗๙/๑๔๖.


Monday, December 15, 2008

สิ่งที่ควรพิจารณาเนืองๆ



ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ธรรม ๑๐ ประการ อะไรบ้าง คือ บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า


[๑] บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ
[๒] ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย
[๓] อาการกายวาจาอย่างอื่น ที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้
[๔] ตัวของเราเอง ติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่
[๕] ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่
[๖] เราจักต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น
[๗] เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว
[๘] วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
[๙] เรายินดีในที่สงัดหรือไม่
[๑๐] คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง

ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ
ปัพพชิตอภิณหสูตร, องฺ.ทสก. ๒๔/๔๘/๑๐๔.

Wednesday, December 10, 2008

น้ำตาที่น่าสรรเสริญ



ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป แม้มีความทุกข์กาย แม้มีความทุกข์ใจ ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ แต่ก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ เธอย่อมถึงฐานะอันน่าสรรเสริญในปัจจุบัน ๕ ประการ คือ



[๑] เธอมีศรัทธาในกุศลธรรม
[๒] เธอมีหิริในกุศลธรรม
[๓] เธอมีโอตตัปปะในกุศลธรรม
[๔] เธอมีความเพียรในกุศลธรรม
[๕] เธอมีปัญญาในกุศลธรรม



ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป แม้มีความทุกข์กาย แม้มี ความทุกข์ใจ ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ แต่ก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ให้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ เธอย่อมถึงฐานะอันน่าสรรเสริญ ๕ ประการนี้แล ในปัจจุบัน
สิกขาสูตร, องฺ.ปญฺจก.๒๒/๕/๗.


ขันน้ำที่ว่างเปล่า




พระผู้มีพระภาค ทรงคว่ำภาชนะน้ำ แล้วตรัสกับท่านพระราหุลว่า
“ราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้ไหม”
“เห็น พระพุทธเจ้าข้า”
“ราหุล นักบวชผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ก็เหมือน ภาชนะน้ำที่คว่ำแล้วอย่างนี้”.
จากนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้นมา แล้วตรัสว่า
“ราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้ไหม”
“เห็น พระพุทธเจ้าข้า”
“ราหุล นักบวชผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ก็เหมือน ภาชนะน้ำที่ว่างเปล่าอย่างนี้...
ราหุล เรากล่าวว่า ชื่อว่ากรรมชั่วแม้เล็กน้อย ซึ่งนักบวชที่ไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่จะทำไม่ได้ หามีไม่
ราหุล เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงสำเหนียกไว้ในใจอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักไม่กล่าวเท็จ แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น”
จูฬราหุโลวาทสูตร, ม.ม. ๑๓/๑๐๗/๑๑๗.

Sunday, November 30, 2008

ผู้ยังอ่อนต่อโลก

ภิกษุทั้งหลาย โดยมากสัตว์ทั้งหลายหมกมุ่นอยู่ในกาม กุลบุตรผู้ละเคียวและคานหาบหญ้าออกบวชเป็นบรรพชิต ควรเรียกว่า ‘กุลบุตรผู้มีศรัทธาออกบวช’ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาควรได้กามด้วยความเป็นหนุ่ม และกามเหล่านั้นก็มีอยู่ตามสภาพ คือ เลว ปานกลางและประณีต แต่กามทั้งหมดก็นับว่าเป็น ‘กาม’ ทั้งนั้น

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย เอาชิ้นไม้หรือ ชิ้นกระเบื้องใส่เข้าไปในปาก เพราะความพลั้งเผลอของพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงพึง ใส่ใจในเด็กนั้นทันที แล้วรีบนำเอาชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้องออกโดยเร็ว ถ้าไม่สามารถนำออกโดยเร็วได้ ก็พึงเอามือซ้ายจับ งอนิ้วมือข้างขวา แล้วแยงเข้าไปนำออกมาทั้งที่ยังมีโลหิต
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความลำบากนั้นจะมีแก่เด็ก เราไม่กล่าวว่า ‘ไม่มีความลำบาก’ และพี่เลี้ยงผู้หวังประโยชน์เกื้อกูลอนุเคราะห์ พึงทำ อย่างนั้นด้วยความอนุเคราะห์ แต่เมื่อใด เด็กนั้นเจริญวัย มีปัญญาสามารถ เมื่อนั้น พี่เลี้ยงก็วางใจในเด็กนั้นได้ว่า ‘บัดนี้ เด็กมีความสามารถรักษาตนเองได้แล้ว ไม่พลั้งพลาดอีก’ ฉันใด

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ที่เราต้องรักษาเธอ ตลอดเวลาที่เธอยังไม่กระทำด้วยศรัทธาในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยหิริในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยวิริยะในกุศลธรรม ไม่กระทำด้วยปัญญาในกุศลธรรม
กามสูตร, องฺ.ปญฺจก.๒๒/๗/๙.

คมดาบใต้สังฆาฏิ



ภิกษุทั้งหลาย มหาชนรู้จักเธอทั้งหลายว่า ‘สมณะ สมณะ’ ดังนี้ ก็เธอทั้งหลายเมื่อเขาถามว่า ‘ท่านทั้งหลายเป็นอะไร’ ก็ประกาศตนว่า ‘เราเป็นสมณะ’ เมื่อเธอทั้งหลายมีชื่อว่า ‘สมณะ’ และปฏิญญาว่า ‘เป็นสมณะ’ ก็ควรสำเหนียกว่า “ข้อปฏิบัติอันใดเป็นข้อปฏิบัติสมควรแก่สมณะ เราจักปฏิบัติ ตามข้อปฏิบัติอันนั้น เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ คำปฏิญญาว่า ‘เป็นสมณะ’ ของเรา ก็จักเป็นความจริงแท้ ใช่แต่เท่านั้น เราบริโภคใช้สอย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของทายกเหล่าใด ทานของทายกเหล่านั้น ก็จักมีผลมาก มีอานิสงส์มากเพราะเราทั้งหลาย และการบรรพชาของเราเอง ก็จักไม่เป็นหมันเปล่า แต่จักมีผลมีกำไร ...



ส่วนภิกษุผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ...ยังละกิเลสซึ่งเป็นมลทินของสมณะไม่ได้ ... ก็เปรียบเหมือนอาวุธอันคมกล้า มีคมสองข้าง ที่ชุบและลับไว้อย่างดีแล้ว สอดไว้ในฝัก คือผ้าสังฆาฏิของภิกษุนั้นเอง ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการบรรพชาของภิกษุนี้ว่า เปรียบได้กับอาวุธมีคม สองข้างนั้น ฉันนั้น ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่า ความเป็นสมณะมีได้เพราะเหตุสักว่าการทรงสังฆาฏิ...
จูฬอัสสปุรสูตร, ม.มู.๑๒/๔๓๕/๔๖๔.


เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์



“ท่าน จงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์ มุนีไม่ละกาม ย่อมเข้าไม่ถึงความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้
ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นจริง ๆ พึงบากบั่น ทำความเพียรนั้นให้มั่น เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน ยิ่งโปรยโทษดุจธุลี
ความชั่วไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง ก็กรรมใดทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้ว ประเสริฐกว่า
หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดีย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปในนรก ฉันนั้น



กรรมอันย่อหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง วัตรอันใดที่เศร้าหมอง และพรหมจรรย์ที่น่ารังเกียจ ทั้งสามอย่างนั้น ไม่มีผลมาก



...ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงศึกษา เล่าเรียน ทรงจำตายนคาถานี้ไว้ ภิกษุทั้งหลาย ตายนคาถาประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
ตายนสูตร, สํ.ส.๑๕/๘๙/๙๕.


พิษร้ายของกาม




กามทั้งหลาย มีความพอใจน้อย มีทุกข์มาก ทุกข์อื่นยิ่งกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใดซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก



เหมือนดาบที่ลับคมดีแล้วเชือด เหมือนกระบี่ที่ขัดดีแล้วแทง เหมือนหอกที่พุ่งปักอก เจ็บปานใด กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น



หลุมถ่านเพลิงลุกโพลงที่ลึกกว่าชั่วบุรุษ ผาล (เหล็กสวมไถ) ที่เขาเผาร้อนอยู่ตลอดวัน ร้อนปานใด กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น



เหมือนยาพิษที่ร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน ทองแดงที่กำลังละลายคว้าง ร้อนปานใด กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น



ปานียชาดก, ๒๗/๖๙-๗๒/๓๖๕-๓๖๖.


Tuesday, November 25, 2008

ว่าด้วยการสำรวมระวังในพระปาติโมกข์

เธอนั้นครั้นบวชแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นผู้สำรวมในพระปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วยมารยาทและโคจร(การเที่ยวไป) มีปรกติเห็นภัยในโทษ แม้เพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมและวจีกรรมอันเป็นกุศล

สามัญญผลสูตร, ที.สี. ๙ /๑๙๓/๖๕.

เหตุที่ทำให้บวชได้ไม่นาน (๔)




กุลบุตรบางคน ในโลกนี้มีศรัทธาออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต... เธอบวชแล้วอย่างนี้ ในเวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตตามหมู่บ้านหรือตำบล ไม่รักษากาย วาจา ใจ มีสติไม่ตั้งมั่น ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นมาตุคาม(สตรี)ในหมู่บ้านหรือตำบลนั้น นุ่งห่มไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิตของเธอเพราะเห็นมาตุคามนุ่งห่มไม่เรียบร้อย เธอมีจิตฟุ้งซ่าน เพราะราคะ จึงบอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์ มาตุคามนี้แล ชื่อว่าภัย จากปลาร้าย
อูมิภยสูตร, องฺ.จตุกฺก.๒๑/๑๒๒/๑๘๖.

เหตุที่ทำให้บวชได้ไม่นาน (๓)




กุลบุตรบางคน ในโลกนี้มีศรัทธาออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต...เธอบวชแล้วอย่างนี้ ในเวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตตามหมู่บ้านหรือตำบล ไม่รักษากาย วาจา ใจ มีสติไม่ตั้งมั่น ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นคหบดีในหมู่บ้านหรือตำบลนั้น เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕



เธอคิดอย่างนี้ว่า “เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ ด้วยกามคุณ ๕ ก็โภคทรัพย์ในตระกูลของเราก็มีอยู่พร้อม เราสามารถที่จะ ใช้สอยโภคทรัพย์และทำบุญได้” เธอจึงบอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์ กามคุณ ๕ นี้แล ชื่อว่า ภัยจากน้ำวน
อูมิภยสูตร, องฺ.จตุกฺก.๒๑/๑๒๒/๑๘๖.


Thursday, November 20, 2008

เหตุที่ทำให้บวชได้ไม่นาน

กุลบุตรบางคน ในโลกนี้มีศรัทธาออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า “เราถูกความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความ คร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ครอบงำ ตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์ประดังเข้ามา ไฉนหนอ การกระทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งหมดนี้ จะพึงปรากฏ”
เธอบวชแล้วอย่างนี้ เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนพร่ำสอนว่า “ท่านพึง ก้าวไปอย่างนั้น พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลดูอย่างนี้ พึงเหลียวอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร อย่างนี้”

เธอคิดอย่างนี้ว่า “เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ มีแต่จะตักเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้มีอายุคราวลูกคราวหลานของเรา ยังจะมาตักเตือนพร่ำสอนเรา” เธอขุ่นเคืองไม่พอใจ จึงบอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์ ความโกรธและความคับแค้นใจนี้แล ชื่อว่า ภัยจากคลื่น
อูมิภยสูตร, องฺ.จตุกฺก.๒๑/๑๒๒/๑๘๔.




กุลบุตรบางคน ในโลกนี้มีศรัทธาออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต...เธอบวชแล้วอย่างนี้ เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนพร่ำสอนว่า “สิ่งนี้ท่านควรฉัน สิ่งนี้ไม่ควรฉัน สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค สิ่งนี้ควรลิ้ม สิ่งนี้ไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม สิ่งเป็นกัปปิยะ(สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ให้ภิกษุใช้หรือฉันได้) ท่านควรฉัน สิ่งเป็นอกัปปิยะ(สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้หรือฉัน) ท่านไม่ควรฉัน....


เธอคิดอย่างนี้ว่า “เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ต้องการสิ่งใดก็เคี้ยวกินสิ่งนั้น ไม่เคี้ยวกินสิ่งที่ไม่ต้องการ...กินทั้งสิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ...กินทั้งในเวลาและนอกเวลา...สิ่งใดที่ประณีตไม่ว่าจะเป็นของเคี้ยวหรือของบริโภค ที่คหบดีผู้มีศรัทธาถวายแก่เราทั้งในเวลากลางวันและในเวลาวิกาล ภิกษุ เหล่านี้ทำเหมือนปิดปากของเราแม้ในของเหล่านั้น” เธอขุ่นเคืองไม่พอใจ จึงบอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์ ความเป็นผู้เห็นแก่ปากท้องนี้แล ชื่อว่า ภัยจากจระเข้

เหตุใดจึงคิดลาสิกขา ?



ต้นไม้ใหญ่ ที่มีกาฝากกอใหญ่ขึ้นเกาะปกคลุม เป็นเหตุให้ล้ม ระเนระนาดไป เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร เป็นต้น ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ที่มีกาฝาก กอใหญ่ขึ้นเกาะปกคลุมเป็นเหตุให้ล้มหักลง ฉันใด



กุลบุตรบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ละกามเช่นใดแล้วออกบวชเป็นบรรพชิต กุลบุตรนั้นกลับเป็นผู้เสียหาย วิบัติไปด้วยกามเช่นนั้น หรือสิ่งที่เลวกว่านั้น ภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์เครื่องกางกั้น ๕ ประการนี้คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ครอบงำจิตแล้ว ย่อมทอน กำลังปัญญา
รุกขสูตร, สํ.ม. ๑๙/๒๑๙/๑๔๙.

ทำอย่างไรจึงจะบวชได้ตลอดชีวิต ?


ภิกษุรูปหนึ่ง กล่าวกับท่านพระสารีบุตรว่า “ท่านสารีบุตร ภิกษุ ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของท่านบอกคืนสิกขากับมาเป็นคฤหัสถ์เสียแล้ว”

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า “ผู้มีอายุ ภิกษุผู้ที่ไม่คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในการบริโภคอาหาร ไม่ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ ย่อมเป็นเช่นนี้แหละ เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุ ผู้ที่ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในการบริโภคอาหาร ไม่ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ จักสืบต่อพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต

ผู้มีอายุ ข้อที่ภิกษุนั้นคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในการบริโภคอาหาร ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ จักสืบต่อพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิตนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้”
สารีปุตตสัทธิวิหาริกสูตร, สํ.สฬา. ๑๘/๑๒๐/๑๔๑.

เหตุใดพระหนุ่มบางรูปบวชได้ตลอดชีวิต ?



พระเจ้าอุเทน ตรัสถามพระปิณโฑลภารทวาชะว่า
“อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุที่ยังหนุ่มแน่น ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย สามารถบวชประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน”



พระปิณโฑลภารทวาชะตอบว่า
“ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ดังนี้ว่า
มาเถิดภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งจิตไว้ในสตรีปูนมารดาว่า เป็นมารดา ตั้งจิตไว้ในสตรีปูนพี่สาวน้องสาวว่าเป็นพี่สาวน้องสาว ตั้งจิตไว้ ในสตรีปูนบุตรสาวว่าเป็นบุตรสาว



ภิกษุทั้งหลาย (ถ้ายังไม่ได้ผล) เธอทั้งหลายจงพิจารณากายนี้ เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องล่างตั้งแต่ปลายผมลงมา อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้แล คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้


ภิกษุทั้งหลาย (ถ้าทำอย่างนั้นแล้วยังไม่ได้ผล) เธอทั้งหลายจงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นรูปทางตา...ฟังเสียงทางหู... ดมกลิ่นทางจมูก...ลิ้มรสทางลิ้น...รับสัมผัสทางกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว อย่ารวบถือ อย่าแยกถือ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์เหล่านั้น นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุที่ยังหนุ่มแน่น ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย สามารถบวชประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ อยู่ได้นาน”



ภารทวาชสูตร, สํ.สฬา. ๑๘/๑๒๗/๑๕๒.


Wednesday, November 12, 2008

ควรบวชเมื่อยังหนุ่มหรือเมื่อแก่แล้วค่อยบวช ?




คนหนุ่ม ควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่ม การบรรพชาควรเป็นของคนหนุ่ม ข้อนั้นท่านผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายสรรเสริญแล้ว...อาตมภาพจักประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องการราชสมบัติ อาตมภาพเห็นเด็กชายของท่านทั้งหลายผู้เรียกมารดาบิดา ซึ่งเป็นบุตรที่รัก อันได้มาโดยยาก ยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว อาตมภาพเห็นเด็กหญิงของ ท่านทั้งหลายที่สวยงามน่าชม สิ้นชีวิต เหมือนหน่อไม้ไผ่ยังอ่อนที่ถูกถอน



จริงอยู่ จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม แม้จะยังหนุ่มสาวก็ต้องตายทั้งนั้น ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิตว่า เรายังหนุ่มอยู่ อายุของคนเราเป็นของน้อยนัก เพราะวันคืนล่วงไปๆ เหมือนอายุของฝูงปลาในน้ำน้อย ความเป็นหนุ่มสาว ในวัยนั้น จักทำอะไรได้ สัตว์โลกถูกครอบงำและถูกห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพใน ราชสมบัติทำไม
เตมิยชาดก, ขุ.ชา.๒๘/๙๗-๑๐๓/๑๙๘.

บวชเมื่อแก่จะหวังอะไร ?




ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ หาได้ยาก ธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง
คือ ภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ที่เป็นผู้ว่าง่าย หาได้ยาก ๑ ที่เป็นผู้คงแก่เรียน หาได้ยาก ๑ ที่เป็นผู้รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ หาได้ยาก ๑ ที่เป็นธรรมกถึก หาได้ยาก ๑ ที่เป็นวินัยธร หาได้ยาก ๑



ทุติยวุฑฒปัพพชิตสูตร, องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๖๐/๑๐๙.

บวชแต่กาย...ไม่บวชใจจะไหวหรือ ?



ดูก่อนราชกุมาร... เปรียบเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง วางอยู่บนบก ห่างจากน้ำ บุรุษนำไม้นั้นมาทำไม้สีไฟด้วยหวังว่า ‘เราจักก่อไฟให้เกิด ความร้อนขึ้น’ บุรุษนั้นก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า ข้อนี้ฉันใด
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้มีกายและจิตหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีความพอใจในกาม มีความใคร่ ความหลง ความกระหาย ความเร่าร้อนเพราะกาม ยังมิได้ละและมิได้ทำให้สงบระงับในภายใน สมณะพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็งเผ็ดร้อน ซึ่งเกิดเพราะความเพียรก็ดี หรือแม้มิได้เสวยทุกขเวทนาเช่นนั้นก็ดี ก็เป็น ผู้ไม่ควรแก่การรู้ การเห็น และการตรัสรู้อันเยี่ยม
โพธิราชกุมารสูตร, ม.ม.๑๓/๓๓๐/๓๙๙.

นักบวชมุ่งแสวงหาอะไร ?



ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภสักการะและเสียงสรรเสริญเป็นอานิสงส์(ผลที่มุ่งหมาย) มิใช่มีความสมบูรณ์แห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์แห่งสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
ภิกษุทั้งหลาย ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ (ความหลุดพ้นจากกิเลส) อันใดมีอยู่ พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุตตินั่นแหละเป็นเป้าหมาย เป็นแก่นสาร เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์



มหาสาโรปมสูตร, ม.มู. ๑๒/๓๑๑/๓๔๘.

คิดอย่างไรจึงตัดใจออกบวช ?


ดูก่อนภารทวาชะ ก่อนแต่การตรัสรู้ เรายังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีคือกิเลส การบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่ผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดย ส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดดีแล้วนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด” ในกาลต่อมา เรานั้นยังเป็นหนุ่มแน่น มีผมดำสนิท อยู่ในปฐมวัย เมื่อมารดาและบิดาไม่ปรารถนาจะให้บวช ร้องไห้คร่ำครวญน้ำตานองหน้า เราปลงผมและหนวด นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วก็แสวงหา ว่าอะไรเป็นกุศล แสวงหาทางอันประเสริฐคือความสงบซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า

สังคารวสูตร, ม.ม. ๑๓/๔๗๕/๖๐๐.

บทนำ



มิใช่เรื่องง่ายนัก ที่ใครสักคนหนึ่งจะกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เข้ามาบวชถวายชีวิตในบวรพระพุทธศาสนา หากว่ามิได้มีเป้าหมาย และมโนปณิธานอันสูงส่ง ในอันที่จะมุ่งขจัดขัดเกลากิเลส ฝึกฝนอบรมตนเอง เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์ การบวชถวายชีวิตเช่นนี้ก็คงยาก ที่จะบังเกิดขึ้นได้



นักรบใหม่จำนวนไม่น้อย ต่างก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในยอดนักรบแนวหน้าแห่งกองทัพธรรม แต่ในบรรดานักรบเหล่านั้น จะมีสักกี่คนที่สามารถจะรักษาอุดมการณ์นั้นไว้ได้ตราบสิ้นลมหายใจ



“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ภาษิตนี้ยังคงใช้ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชผู้มีภารกิจสำคัญ เป็นภารกิจทางใจที่มุ่ง ไปปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ฉะนั้น จึงยังคงมี หน้าที่อันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนักหน่วงและท้าทาย รอคอยอยู่ตลอดเส้นทาง ที่ย่างก้าวไป



ด้วยตระหนักดีว่า พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา--สัมพุทธเจ้า และโอวาทของครูบาอาจารย์ คือขุมทรัพย์ทางปัญญา อันยิ่งใหญ่ ที่จะเป็นดุจประทีปส่องสว่างหนทางสายกลาง บทความ “พระแท้ 24 น.” เล่มนี้ จึงบังเกิดขึ้น ด้วยความตั้งใจจริงของพระภิกษุเถระทุกรูป ที่ปรารถนาจะมอบธรรมาวุธคู่ใจให้แด่พระรุ่นน้อง ไว้เพื่อทำหน้าที่ ปลุกปลอบใจในยามที่อ่อนล้า เป็นกำลังใจในยามท้อถอย และคอย เตือนใจในยามประมาทพลั้งเผลอ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกๆ รูปได้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองให้กลั่นกล้ายิ่งๆ ขึ้นไป กระทั่งได้เข้าถึง พระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกายซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด ของการเข้ามาบวช ณ วัดพระธรรมกายแห่งนี้
ท้ายที่สุดนี้ พี่ๆ ทุกรูปปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้เห็นพระรุ่นน้องๆ ที่ตามมาในภายหลัง ได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางการสร้างบารมี ซึ่งมี พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเป็นผู้นำ อย่างมั่นคงและปลอดภัย ไปจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม.