Sunday, March 15, 2009

กุฏิวิหารที่ลุกเป็นไฟ

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจักตัดสินความเรื่องนี้อย่างไร ระหว่างการที่บุรุษ ผู้มีกำลังจับคนชูเท้าขึ้น ห้อยศีรษะลงแล้วโยนลงในหม้อเหล็กร้อนที่เผาไฟ ลุกโชนโชติช่วง เขาถูกไฟลวกเดือดโผล่ขึ้นเป็นฟองในหม้อเหล็กร้อนนั้น บางครั้งก็ลอยขึ้น บางครั้งก็จมลง บางครั้งก็ลอยขวาง กับการใช้สอยกุฏิวิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การใช้สอยกุฏิวิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา นั่นแหละประเสริฐกว่า เพราะการที่บุรุษผู้มีกำลังจับคนชูเท้าขึ้น ห้อยศีรษะ ลงแล้วโยนลงในหม้อเหล็กร้อนที่เผาไฟลุกโชนโชติช่วง เขาถูกไฟลวกเดือด โผล่ขึ้นเป็นฟองในหม้อเหล็กร้อนนั้น บางครั้งก็ลอยขึ้น บางครั้งก็จมลง บางครั้งก็ลอยขวาง นั่นเป็นความทุกข์ ทนได้ยาก พระพุทธเจ้าข้า”

“ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนพวกเธอ การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด มีความประพฤติที่ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง มีการกระทำที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น ไม่ใช่สมณะแต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญญาว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน ชุ่มด้วยราคะ หมักหมมเหมือนบ่อที่เทหยากเยื่อ การใช้สอยกุฏิวิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาจะประเสริฐอะไร การที่บุรุษผู้มีกำลังจับคนชูเท้าขึ้น ห้อยศีรษะลงแล้วโยนลงในหม้อเหล็กร้อนที่เผาไฟลุกโชนโชติช่วง เขาถูกไฟลวกเดือดโผล่ขึ้น เป็นฟองในหม้อเหล็กร้อนนั้น บางครั้งก็ลอยขึ้น บางครั้งก็จมลง บางครั้งก็ ลอยขวางยังจะดีเสียกว่า

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาจะพึงตายหรือทุกข์ปางตายด้วยเหตุที่ถูกโยนลงในหม้อเหล็กร้อนก็จริงอยู่ แต่หลังจากตายแล้ว เขาจะไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด ฯลฯ แล้วยังคิดใช้สอยกุฏิวิหารที่เขาถวายมาด้วยศรัทธา ย่อมเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลแก่เขาตลอดกาลนาน และหลังจากตายแล้ว เขายังต้องไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกอีก”

อัคคิกขันโธปมสูตร, องฺ.สตฺตก.๒๓/๗๒/๑๖๔.

No comments: