Thursday, April 30, 2009

ตื่นเถิด...ภิกษุ


เทวดาตนหนึ่ง เอ็นดูภิกษุรูปหนึ่ง จึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้นขณะเธอนอนหลับกลางวัน แล้วกล่าวคาถาหวังจะให้เธอสลดใจว่า

“ท่านจงลุกขึ้นเถิดภิกษุ ท่านจะต้องการอะไรด้วยความหลับ ท่านผู้ เร่าร้อนด้วยกิเลส อันลูกศรคือตัณหาเสียบแทงดิ้นรนอยู่ จะมัวหลับอยู่ทำไม ท่านออกจากเรือนบวชด้วยความเป็นผู้ไม่มีเรือนด้วยศรัทธาใด ท่านจง เพิ่มพูนศรัทธานั้นเถิด อย่าตกไปสู่อำนาจแห่งความหลับเลย”

อุปัฏฐานสูตร, สํ.ส. ๑๕/๒๒๒/๓๒๔.

ผู้มีความสงัดเป็นเพื่อน

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ ประกอบความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นผู้ชอบคณะ ยินดีในคณะ ประกอบความยินดีในคณะ จักเป็นผู้อยู่รูปเดียว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบ ข้อนี้ย่อมเป็นไปมิได้เลย

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ประกอบความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่เป็นผู้ชอบคณะ ไม่ยินดีคณะ ไม่ประกอบความยินดีคณะ จักเป็นผู้อยู่รูปเดียว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบ ข้อนี้ย่อมเป็นไปได้

สังคณิการามสูตร, องฺ.ฉกฺก.๒๒/๖๘/๕๘๗.

Saturday, April 25, 2009

ผู้อยู่จบพรหมจรรย์


จิตของภิกษุ ผู้น้อมไปยังเนกขัมมะ ผู้น้อมไปยังความสงัดแห่งใจ ผู้น้อมไปยังความสิ้นตัณหา ผู้น้อมไปยังความสิ้นอุปาทาน และผู้น้อมไปยังความไม่หลงใหลแห่งใจ ย่อมหลุดพ้นโดยชอบเพราะเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งอายตนะทั้งหลาย กิจที่ควรทำและการเพิ่มพูนกิจที่ทำแล้ว ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้นผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบ

โสณสูตร, องฺ.ฉกฺก.๒๒/๕๕/๕๓๘.

“สึก”...ทุกวัน

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ รอยนิ้วหัวแม่มือที่ด้ามมีด ย่อมปรากฏแก่นายช่างไม้หรือลูกมือนายช่างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่างนี้ว่า “วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ เมื่อวานสึกไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสึกไปเท่านี้” แต่ที่จริง เมื่อด้ามมีดสึกไป เขาก็รู้ว่าสึกไปนั่นเทียว ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้อย่างนี้ว่า “วันนี้อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้” แต่ที่จริง เมื่ออาสวะสิ้นไปภิกษุนั้นก็รู้ว่าสิ้นไปนั่นเทียว

ภาวนาสูตร, องฺ.สตฺตก.๒๓/๗๑/๑๕๗.

Monday, April 20, 2009

ทางสายกลาง

พระผู้มีพระภาค ตรัสถามท่านพระโสณะว่า

“ดูก่อนโสณะ เธอเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร เมื่อใดสายพิณตึงเกินไป พิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ”
ท่านพระโสณะกราบทูลว่า
“ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
“โสณะ เมื่อใดสายพิณหย่อนเกินไป พิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ”
“ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
“โสณะ ก็เมื่อใด สายพิณไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ขึงอยู่ในระดับ ที่พอเหมาะ พิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ”
“อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
“โสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไปย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ จงปรับอินทรีย์ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ให้เสมอกันและจงถือนิมิตในความ สม่ำเสมอนั้น”
โสณสูตร, องฺ.ฉกฺก.๒๒/๕๕/๕๓๔.

“คิด”...ไม่ถึง

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนาแม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า “ทำอย่างไรหนอ จิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น” ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค ๘

เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่ เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ได้ แม่ไก่นั้น แม้จะเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า “โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี” ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น

ภาวนาสูตร, องฺ.สตฺตก.๒๓/๗๑/๑๕๖.

Wednesday, April 15, 2009

ความตายอยู่แค่ปลายจมูก

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งและวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ”, ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ”, ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ และภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ”

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาทเจริญมรณสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า
ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มี-- พระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ” และ ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ”

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญ มรณสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า “เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาทจักเจริญมรณสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล”
ปฐมมรณัสสติสูตร, องฺ.ฉกฺก.๒๒/๑๙/๔๔๖.

ภิกษุผู้อยู่ในธรรม

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ เธอปล่อยวันคืนให้ล่วงเลยไป ละการหลีกออกเร้นอยู่ ไม่ประกอบความสงบใจภายใน เพราะการเรียนธรรมนั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มากด้วยการเรียน ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม...

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ เธอไม่ปล่อยวันคืนให้ล่วงเลยไป ไม่ละการหลีกออกเร้นอยู่ ประกอบความสงบใจภายใน เพราะการเรียนธรรมนั้น ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้อยู่ในธรรม...

ภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้หวังประโยชน์เกื้อกูล อนุเคราะห์ อาศัยความเอ็นดู พึงกระทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราได้ทำแก่เธอทั้งหลายแล้ว

ดูก่อนภิกษุ นั่นโคนต้นไม้ นั่นเรือนว่าง เธอจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอ ทั้งหลาย

ปฐมธัมมวิหารีสูตร, องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๗๓/๑๒๓.

Friday, April 10, 2009

กิจรีบด่วนของภิกษุ

ภิกษุทั้งหลาย กิจที่ชาวนาต้องรีบทำ ๓ อย่าง คือ ต้องรีบเร่งไถคราดพื้นที่นาให้เรียบร้อย ๑ ครั้นแล้วต้องรีบเร่งเพาะกล้าลงไปตามกาลที่ควร ๑ จากนั้นก็เร่งรีบไขน้ำเข้าบ้าง ระบายน้ำออกบ้าง ๑ แต่ว่าชาวนานั้นไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “ข้าวจงงอกในวันนี้ ออกรวงพรุ่งนี้ มะรืนนี้จง หุงได้” เพราะอันที่จริง ข้าวเปลือกนั้นย่อมจะมีระยะเวลาของฤดูที่มันจะงอก ออกรวง และหุงได้ ฉันได้

ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย กิจที่ภิกษุต้องรีบทำ ๓ ประการ คือ การบำเพ็ญอธิสีลสิกขา การบำเพ็ญอธิจิตตสิกขา การบำเพ็ญอธิปัญญาสิกขา นี้แลเป็นกิจที่ภิกษุต้องรีบทำ แต่ภิกษุนั้นไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “จิตของเราจงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ได้” เพราะอันที่จริง เมื่อภิกษุนั้นศึกษาอธิศีลสิกขาไป ศึกษา อธิจิตตสิกขาไป ศึกษาอธิปัญญาสิกขาไป จิตย่อมจะเลิกยึดถือ หลุดพ้น จากอาสวะได้เอง”

เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกในข้อนี้ว่า “เรามีความพอใจอย่างยิ่งยวดในการบำเพ็ญอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา” ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล.



อัจจายิกสูตร, องฺ.ติก.๒๐/๙๓/๓๒๔.

Sunday, April 5, 2009

พระแท้แต่ปางก่อน

ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาวและลม และปกปิดความละอายเท่านั้น

ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติดไม่พัวพันเลย

ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน (แม้จะถูกความเจ็บไข้ครอบงำ) ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็นบริขารแห่งชีวิต เหมือนการขวนขวายหาความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก มุ่งแต่เรื่องวิเวก อยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น

ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่นเลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีน้ำใจไม่กระด้าง ไม่ถูกกิเลสรั่วรด ปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนแลผู้อื่น

เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อนเป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับ การบริโภคปัจจัย การซ่องเสพโคจร และมีอิริยาบถละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนสายน้ำมันไหลออกไม่ขาดสายฉะนั้น
ปาราสริยเถรคาถา, ขุ.เถร.๒๖/๙๒๒-๙๒๗/๔๙๑-๔๙๒

เท่านี้ก็เพียงพอ

ถ้าภิกษุ มุ่งหวังในความเป็นสมณะ ควรปรารถนาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ อย่างง่ายๆ ไม่ควรดูหมิ่นจีวร ปานะและโภชนะที่เขาถวายเป็นของสงฆ์ ถ้าหากภิกษุมุ่งหวังในความเป็นสมณะ ควรปรารถนาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ อย่างง่ายๆ ควรใช้ที่นอนและที่นั่งอย่างง่ายๆ เหมือนงูอาศัยรูหนูอยู่ฉะนั้น ถ้ามุ่งหวังในความเป็นสมณะ ควรปรารถนาเพื่อดำรงชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ พึงพอใจด้วยปัจจัยตามมีตามได้ และควรเจริญธรรมอย่างเอกด้วย

ธนิยเถรคาถา, ขุ.เถร.๒๖/๒๒๘-๒๓๐/๓๗๔-๓๗๕.